กลับหน้าหลัก

.

 

สถานีอนามัยตำบลสันพระเนตร

 

 

ประวัติตำบลสันพระเนตร

ในอดีตเนื้อที่ของตำบลส่วนใหญ่เป็นเนินเขา ซึ่งไม่สูงมากนัก ประชาชนที่อาศัยอยู่เป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิม ประกอบอาชีพเกษตรกรรม   นับถือศาสนาพุทธ  มีการร่วมมือร่วมใจกันสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางมารวิชัย  พระโอษฐ์แย้ม   เพื่อสักการะบูชาใช้เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน  เล่าสืบต่อกันมาว่า พระพุทธรูปองค์ใหญ่นี้ มีสายพระเนตรมุ่งตรงไปยังเนินเขา   ซึ่งมีรูปร่างคล้ายช้างเผือกหมอบกราบ   พระพุทธรูปอยู่เบื้องหน้า  ชาวบ้าน จึงขนามนามว่า  สันพระเนตร  ซึ่งเป็นที่มาของชื่อตำบลสันพระเนตรในปัจจุบัน

สถานีอนามัยตำบลสันพระเนตร   

ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอสันทราย ติดกับถนนเชียงใหม่–ดอยสะเก็ด ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 8  กิโลเมตร และห่างจากโรงพยาบาลนครพิงค์  15  กิโลเมตร  โดยมีเขตรับผิดชอบจำนวน  7  หมู่บ้าน  มีประชากร  5,908  คน  1,632  หลังคาเรือน  พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ  ประชากรส่วนใหญ่ประกอบชีพรับจ้าง  และเกษตรกรรม  สถานีอนามัยสันพระเนตร ได้รับบริจาคที่ดินในการก่อสร้างจากกระทรวงศึกษาธิการ  จำนวน 3 ราย  จากนางแสงหล้า   กิตรกุล  จำนวน  1  ไร่   จากนายเต่า   เขื่อนขัน   และนายคนึง  แสนวาสน์    จำนวน  2  งาน   รวมเนื้อที่ทั้งหมด  1 ไร่  2 งาน   และได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุข  จัดสร้างตัวอาคารสถานีอนามัยแบบแปลนติดดิน  และบ้านพักจำนวน  2 หลัง   เมื่อปี พ.ศ. 2516    ในวงเงิน   140,000 บาท ต่อมาอาคารหลังเดิมชำรุดมาก   จึงของบประมาณสร้างทดแทนในวงเงินงบประมาณ  1,550,000  บาท  เมื่อปี พ.ศ. 2537   แบบแปลนยกพื้นสูง    สร้างแล้วเสร็จเปิดให้บริการ เมื่อวันที่  21  ธันวาคม  2538  โดยมีนายธวัชวงค์  ณ เชียงใหม่  รัฐมนตรีช่วยว่าการสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิด  และมีนางทองอี  ขาวผ่อง เป็นหัวหน้าสถานีอนามัย

อาณาเขตติดต่อ

ทิศเหนือ   ติดต่อกับตำบลสันทรายน้อย  อำเภอสันทราย
ทิศใต้      ติดต่อกับตำบลหนองป่าครั่ง   อำเภอเมืองเชียงใหม่
ทิศตะวันออก  ติดต่อตำบลสันปูเลย   อำเภอดอยสะเก็ด
ทิศตะวันตก   ติดต่อกับ ตำบลหนองป่าครั่ง   อำเภอเมืองเชียงใหม่

เขตรับผิดชอบ

จำนวน   7 หมู่บ้าน    ประชากร     1,632    หลังคาเรือน   ชาย 3,018  คน    หญิง    3,303   คน   รวม   6,321  คน

ลักษณะภูมิประเทศ

พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบ  ทุ่งนา  สวนผลไม้   และที่อยู่อาศัยในลักษณะของบ้านจัดสรร   พื้นที่เกษตรกรรม  เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตชลประทานซึ่งเหมาะสมต่อการเกษตร

ลักษณะภูมิอากาศ

มี 3 ฤดู    คือ
ฤดูร้อน    เริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม  ถึง เดือนมิถุนายน
ฤดูฝน     เริ่มตั้งแต่เดือน กรกฎาคม  ถึง เดือนตุลาคม
ฤดูหนาว   เริ่มตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน  ถึง เดือนกุมภาพันธ์

การปกครอง 
 

แบ่งเขตการปกครองตาม พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2475  เป็น 7 หมู่บ้าน  ดังนี้               
หมู่ 1            บ้านสันศรี
หมู่ 2            บ้านแม่คาว
หมู่ 3            บ้านป่าไผ่
หมู่ 4            บ้านสันพระเนตร
หมู่ 5            บ้านใหม่สามัคคี
หมู่ 6            บ้านแม่ย่อยสันศรี
หมู่ 7            บ้านท่าทุ่ม

สภาพทางเศรษฐกิจ

ประชาชนในตำบลสันพระเนตร ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  รับจ้าง  และรับราชการเป็นส่วนน้อย เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดต่อเขตเมือง  การคมนาคมสะดวก มีรถโดยสารประจำทางผ่าน(สายดอยสะเก็ด - เชียงใหม่) ในพื้นที่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับอนุญาตดำเนินการและประกอบการ จำนวน  2 แห่ง (ตั้งอยู่หมู่ที่ 4,5)     

สภาพทางสังคม

เป็นสังคมเมืองกึ่งชนบท  การตั้งบ้านเรือนจะตั้งบ้านเรือนตามสองฟากถนน แต่ละหมู่บ้านแยกห่างกันพอสมควร โดยลักษณะที่อยู่อาศัยอยู่ตรงกลางของพื้นที่ และรอบเขตบ้านยังปลูกพืชผักสวนครัวพอสมควร และแวดล้อมไปด้วย ทุ่งนา สวน สภาพบ้านเรือนมั่นคงแข้งแรง มีรั้วรอบขอบชิด  บ้านที่เป็นเครือญาติมักตั้งอยู่รวมกันในรั้วเดียวกัน  ในหมู่บ้านมีถนนคอนกรีต  บริเวณหมู่บ้านจัดสรรเป็นลักษณะสังคมเมืองซึ่งไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วมกับคนในพื้นที่
สถาบันครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว   ลูกหลานที่มีครอบครัวจะแยกบ้านไปตั้งบ้านเรือนของตนเอง ในที่ของพ่อแม่ หรือพ่อแม่ของคู่ครอง แต่ก็ยังมีหลายครอบครัวที่อยู่รวมกับพ่อแม่ ในลักษณะครอบครัวขยาย   ครอบครัวไม่นิยมมีบุตรมาก ประมาณ 1 – 2 คน การช่วยเหลือเกื้อกูลยังคงมีลักษณะเครือญาติเหนียวแน่น คนในชุมชน(ยกเว้นกลุ่มบ้านจัดสรร)  มีความสัมพันธ์และสามัคคีกันดี  รู้จักกันทั่วตำบล  กลุ่มผู้สูงอายุยังคง เป็นที่เคารพของลูกหลาน และยังมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนอยู่

การศึกษา  ในตำบลสันพระเนตร มีโรงเรียน ในพื้นที่  2 โรง เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาโรง  ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านสันศรี  และบ้านสันพระเนตร   คนไม่รู้หนังสือมีเฉพาะผู้สูงอายุบางคนและผู้พิการทางสมองเท่านั้น  เนื่องจากการคมนาคมสะดวก ชาวบ้าน จึงมีโอกาสได้รับการศึกษาโดยทั่วหน้า ผู้มีฐานะดีก็จะส่งบุตรหลาน เข้าศึกษาในอำเภอเมืองเชียงใหม่ เด็กที่จบการศึกษาภาคบังคับหากไม่ศึกษาต่อ ก็จะประกอบอาชีพ รับจ้างทั่วไป สำหรับการศึกษานอกระบบ มีหลายแห่ง เช่น วัด  ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน  นอกจากนี้ยังมีการอบรม หลักสูตรต่างๆ จากหน่วยงานของภาครัฐและเอกชน

ศาสนา ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ซึ่งสืบถอดมาจากบรรพบุรุษ ประชาชนยังให้ความสำคัญของการ ไปร่วมทำบุญในโอกาสต่างๆ เช่น วันพระ วันสำคัญทางศาสนา วันสงกรานต์วันลอยกระทง วัดยังเป็นศูนย์กลาง ความเชื่อความศรัทธาของชุมชน   และยังเป็นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้านอีกด้วย การเมืองการปกครอง  ในระดับหมู่บ้านมีผู้ใหญ่บ้านหรือพ่อหลวงเป็นผู้นำหมู่บ้าน  ระดับตำบลมีกำนันหรือพ่อแคว่นเป็นผู้นำ  และมีการ คัดเลือกคณะกรรมการหมู่บ้านมาบริหาร  ในการปกครองสมัยก่อนในระดับตำบลเรียกว่าสภาตำบล ต่อมายก เป็นระดับองค์การบริหารส่วนตำบล  และเทศบาลตำบล โดยรวมกับเทศบาลตำบลสันทายหลวง   1 หมู่บ้าน คือหมู่ที่ 2 บ้านแม่คาว

องค์กรต่างๆ ในหมู่บ้าน
-  คณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เป็นองค์กรระดับหมู่บ้าน หมู่บ้าน 7  - 8  คน ที่ได้รับเลือกโดยประชาชน ในหมู่บ้านจากคนที่มีความรู้ ความสามารถเป็นที่เคารพนับถือ ของคนในหมู่บ้าน ทำหน้าที่บริหารในหมู่บ้าน

-  กลุ่มแม่บ้าน มีทั้งระดับหมู่บ้าน และเป็นเครือข่ายระดับตำบล สมาชิกเป็นแม่บ้านในหมู่บ้านที่เข้ามารวมกลุ่ม กันช่วยเหลือกิจกรรมของหมู่บ้านในเรื่องงานประเพณีของหมู่บ้าน  การประกอบอาชีพเสริมรายได้ ฯลฯ

-  กลุ่มหนุ่มสาว มีทั้งระดับหมู่บ้านและตำบล  เป็นการรวมกลุ่มกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำประโยชน์ให้กับ หมู่บ้าน และชุมชนของตนเอง สร้างความสามัคคีในชุมชนและสืบสานวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ

-  กลุ่มผู้สูงอายุ  สนับสนุนให้มีการจัดตั้งโดยภาครัฐและจากชุมชนเอง    สมาชิกเป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป การจัดตั้งชมรมมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ซึ่งกันและกัน  มีกิจกรรม เสริมรายได้ และการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ทั้งแบบการแพทย์แผนไทย และแพทย์แผนปัจจุบัน

- กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข(อสม.) จัดตั้งโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งให้ชุมชนคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ เป็นที่เคารพนับถือ โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นพี่เลี้ยง ถ่ายทอดความรู้ด้านสุขภาพอนามัยของประชาชน และชุมชน  ใช้อัตราส่วน  อสม. 1 คน ต่อ  15  หลังคาเรือน  มีบทบาทหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ ด้านสุขภาพ อนามัย เป็นระยะๆ ตามสภาพปัญหาสาธารณสุขในชุมชน

 

   
กลับหน้าหลัก